หลักฐาน...ที่ชัดแจ้ง - หลักฐาน...ที่ชัดแจ้ง นิยาย หลักฐาน...ที่ชัดแจ้ง : Dek-D.com - Writer

    หลักฐาน...ที่ชัดแจ้ง

    ผู้เข้าชมรวม

    120

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    120

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ก.ค. 65 / 11:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    หลักฐาน ที่ชัดแจ้ง

    นี่ก็เพื่อน   โน่นก็แม่เพื่อน.. การที่ผมยืนอยู่ตรงกลาง ระหว่างคนสองคน ย่อมทำให้ผมค่อนข้างจะลำบากใจอย่างยิ่ง  จากการที่ ผมได้มาอยู่กับไอ้โจ้ เพื่อนรัก ที่หนองจอก ในฐานะผู้อาศัยเขาอยู่ ย่อมที่จะต้องคิดหนัก และสำนึกในบุญคุณ  ของพ่อและแม่ของไอ้โจ้  พูดได้ว่า ค่าน้ำ ค่าไฟ  ค่าห้อง  ค่าอาหารฟรีทุกมื้อ  ผมไม่ได้จ่ายแม้แต่บาทเดียว  ดังนั้นยามว่างอะไรที่ผมพอช่วยท่านได้ก็ยินดีและเต็มใจช่วยอย่างเต็มที่

    ภายในโรงสีของพ่อและแม่ไอ้โจ้  มีพื้นที่ใหญ่โตกว้างขวางมาก อีกทั้งภายในบ้านยัง มีห้องหับเพียงพอแก่ลูกๆ ทุกคน   ด้านหนึ่งของโรงสีแห่งนี้ ติดกับคลองแสนแสบอันเป็นตำนาน ของความรักของหนุ่มสาว คือ ไอ้ขวัญ-อีเรียม ที่ไม้  เมืองเดิม เคยเขียนนิยายเรื่อง แผลเก่าและแสนแสบ ไว้เมื่อปี 2479   ครอบครัวของไอ้โจ้ ที่ผมได้สัมผัสมาดูจะอบอุ่น พี่น้องในครอบครัวนี้ มีทั้งหมดสิบคน ไอ้โจ้เป็นคนที่ห้า  วันเสาร์-อาทิตย์ เมื่ออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ดูคึกคักมีชีวิตชีวา  แม้ผมจะเป็นคนนอก แต่ทุกๆ คน มองผมเหมือนญาติแท้ๆ คนหนึ่ง     เมื่อถึงเวลากินข้าว    เขาไม่เคยที่จะแบ่งแยก  ทุกคนจะเรียกผมไปกินพร้อมๆกัน  แต่ผมก็มักปฎิเสธ ว่า..ผมยังไม่หิว

    ไอ้โจ้มีพี่สาว 1 คน น้องสาวอีก 3 คน น้องสาวที่อายุใกล้เคียงกับเขาที่สุดคือ จอย ในขณะที่ตอนนั้น ผมมีอายุ18-19 ปี  อายุของจอยคงประมาณ 14-15 ปี  กำลังอยู่ในวัยสาวพอดี วันเสาร์-อาทิตย์ที่ไม่ได้ไปเรียนหนังสือ  ผมจะมาช่วยงานที่โรงสี  งานเบาที่สุดคือ รับยอดจำนวนติ้ว ที่กรรมกรแบกข้าวจากในเรือมาเทกองในโรงเก็บข้าวเปลือก    งานหนักขึ้นมาอีกนิดคือ นับตัวเลขและเช็คตรวจสอบปุ๋ย    กระสอบข้าวเปลือก ที่ถ่ายเทจากรถบรรทุกที่บรรทุกมาจากต่างอำเภอ หนักขึ้นมาอีกนิดคือ ผมต้องช่วยแบกปุ๋ย ลากกระสอบข้าว โดยมีล้อเข็นช่วยผ่อนแรง

    ไอ้โจ้..  เป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดในจำนวนเพื่อน ที่เรียนด้วยกันที่ลาดกระบัง แม้ผมกับเขาจะมีอะไรที่แตกต่างกันหลายอย่าง แต่ก็มีสิ่งที่คล้ายกัน นิสัยเขาเป็นคนใจกว้าง ใจนักเลง ชอบสนุกสนาน ฮาเฮ ไม่ขัดใจเพื่อนฝูง รักเพื่อนฝูง ใครชวน ไอ้โจ้ ไปไหน..ไปกัน  เขามักจะไม่ปฏิเสธกับเพื่อนๆ เลยสักครั้งก็ว่าได้ ในวัยของพวกเราในเวลานั้นคือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จึงนับว่าเป็นวิกฤติช่วงหนึ่งของชีวิต..

    สิ่งที่มันดูเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเรามากๆ  คือการสูบบุหรี่  การกินเหล้า เมากัญชา  จีบสาว  ผมมาเริ่มหัดบุหรี่ แบบจริงๆ จัง ก็ตอนพักที่หอพัก เริ่มสูบกัญชาเป็นเมื่อพี่ๆ เรียกให้มาทดลอง เริ่มกินเหล้าเป็น ก็ตอนที่เครียดๆ กับปัญหาทางบ้าน หากจะว่ากัน ตามความจริง เมื่อผมได้ลองเทียบเคียงกับหมู่เพื่อนๆ เรื่องการกินเหล้า การสูบบุหรี่ พี้กัญชา ผมคิดว่าผมคงน่าจะอยู่ในระดับแถวล่างๆ จากประสบการณ์ที่ผมได้ลืมซึมซับ กับก๊วนพี้เนื้อ.. มันทำให้ผมมีอารมณ์สุนทรีย์ ทางศิลปะ ทางเสียงเพลง  ทางกวี -วรรณศิลป์

    ตอนที่ผมพักอยู่ที่บ้านเช่า ดูเหมือนว่าผมจะเริ่มสนุกกับการพี้กัญชาเกือบทุกวัน เพราะ บางทีบางครั้งเพื่อนมันไปซื้อไปหากัญชามาได้อย่างง่ายๆ  ผมนึกสนุกขึ้นมาก็มานั่งยองๆ ทำท่ากวนกวน   เลียนแบบภาพที่มีศิลปินวาดภาพคนพี้กัญชา   ในคืนหนึ่งที่ผมบัวลอยไปสามสี่บ้องกับไอ้เบี้ยว ไอ้จี๊ด ไอ้โจ้..แล้ว จากนั้นผมจึงมานอนฟังเพลงและเขียนกลอนอย่างเพลิดเพลิน   ครู่ต่อมา.....  .ผมนอน เอามือก่ายหน้าผาก พร้อมนอนฟังเพลงอย่างมีความสุข ผมได้ร้องคลอและฮัมไปเรื่อยๆ   ไอ้ลิต รอคิวดูดบัวลอยจากบ้อง ที่ทำจากขวดเหล้า-ก้านมะละกอที่ทำขึ้นชั่วคราว

    ...........................................................................................

    ก๊อกๆๆ บุ๋งๆๆ   คิ๊.ววๆๆ“  ควันลอยละล่อง ดังกับปุยเมฆ เสียงจากขบวนการ ปล่อยควัน ในก๊วนของเรา อันเป็นกิจ ที่พวกเรามักจะทำกันเกือบทุกครั้ง..ที่มีโอกาส   ดูเหมือนคืนวันนั้น ผมเคลิบเคลิ้ม กับแสงสีเสียง อย่างมากและอย่างหนัก  ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในขณะที่ผมฟังเพลงของทนงศักดิ์ ภักดีเทวา  ร้องเพลง พม่าแปลง  ซึ่งทำนองมันเป็นเพลงไทยเดิม  แต่ดนตรีมัน กลับเป็นเพลงในแนวเฮฟวี่  จนผมต้องลุกขึ้นมาเต้น จนเพื่อนๆ พากันหัวเราะ  ผมมองตาไอ้จี๊ดที่หวานเยิ้ม จากนั้นผมก็มานอนขำมันจนกลิ้ง   แต่จู่ๆ อารมณ์ของ ผมก็เปลี่ยนเป็นการนึกถึงทางบ้าน โดยเกิดนึกสงสารแม่โดยฉับพลัน ผมเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ ได้ขอกระดาษ จากไอ้ลิต เพื่อมาเขียนจดหมาย ลาตาย เพราะสำนึกผิด เพราะเป็นลูกที่ไม่รักดี..

     

    กราบเท้าคุณ แม่ที่เคารพอย่างสูง

    ด้วยผมได้สำนึกผิดแล้ว..  ที่ผมเป็นคนไม่ดี   แม่ทำงานเหนื่อยยากลำบากลำบน หาเงินส่งผมให้ได้เรียนหนังสือ  แต่ผมกลับมาเสพกัญชา  ยาเสพติด ทั้งที่ผมได้เคยสัญญากับแม่แล้วว่า ผมจะไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขเหล่านี้ แต่ผมก็ต้องมายุ่ง ผมขอโทษครับแม่  ที่ต้องทำให้แม่เสียใจ     ผมขอลาตาย ก่อนครับ..   (ด้วยอาการ คนเมากัญชา   ครั้งนี้นับ เป็นครั้งที่ผมเมาที่สุดในชีวิต และได้สัญญากับตนเองว่า   จากนี้ไป..ผมจะขอวางและแขวนบ้อง อย่างเด็ดขาด)

    ........................................................................................

    นาทีต่อมา....ผมได้เดินลงมาจากบนบ้านชั้นสอง  เพื่อจะมา..กระโดดน้ำตาย ไอ้จี๊ด ไอ้ลิต ได้เดินตามผมลงมา ด้วยความเป็นห่วงใย เวลาขณะนั้นเกือบจะสามทุ่ม  ตลาดริมน้ำหัวตะเข้  ยังมีคนมาเดินหาซื้อสินค้าบ้าง เรือพายของแม่ค้า ที่เอาของมาขาย ค่อยๆ แจวกลับสู่บ้านเรือนของตน  แสงจันท์รค่ำคืนนี้ กระทบพื้นน้ำเป็นระลอกๆ ดูงามตา

    ที่บ้านป้าที่ให้พวกเราเช่าบ้าน ได้เลี้ยงหมาไว้หนึ่งตัว โดยปกติมันจะคุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดี แต่วันดังกล่าว มันเห่า จนผมตกใจ ในขณะที่ผมกำลังจะถึงชายน้ำเพื่อกระโดดลงคลองประเวศ

    “โฮ้ง ๆๆ”  ผมตกใจ จนต้องถอยกรูด   สติสัมปชัญญะ ณ ขณะนั้นเสมือนคนวิกลจริต  สมองพลันคิดไปว่า  ผมกำลังประจันหน้ากับสิงโตจ้าวป่า     ผมคลำในตัวแต่ไม่มีอาวุธใดๆ ที่จะต่อสู้กับมัน  จึงได้รีบเดินย้อนกลับไปในบ้านอีกรอบ คว้ามีดอีโต้ได้ แล้วก็วิ่งเข้าประจันหน้ากับหมาตัวนั้น    ฤทธิ์ของกัญชาครั้งนี้มันหนักหนาสาหัส เกินกว่าที่ผมจะควบคุมสติได้  บางครั้งสมองผมก็สามารถคุมได้    แต่..บางครั้งก็ไม่สามารถควบคุมได้   เป็นเพราะกัญชามีสารเสพติด ที่ทั้งกระตุ้นและกดประสาท ช่วงหนึ่งเมื่อประสาทของผมมันผ่อนคลาย  ผมก็นึกได้ว่า ไอ้สิงโต  มันคือหมาที่เราเคยเล่นด้วยกับมันทุกวัน  ผมจึงเอามีดไปเก็บที่บ้านดังเดิม   พอเดินจะเข้าบ้านทั้งๆ   ที่บ้านก็ไม่ได้ปิด แต่ผมนึกว่าเพื่อนแกล้งปิดประตู   จึงจำต้องปีนขึ้นไปบนบ้านชั้นสอง  เพื่อนๆ ต่างงงว่าผมปีน.. ขึ้นมาได้อย่างไร   ไอ้โจ้เห็นว่า ผมท่าจะเมามาก  เลยไล่ให้ผมไปอาบน้ำ.. และล้วงปากให้อาเจียน ให้ฤทธิ์ของกัญชา เจือจางและเบาบางลง  ผมตั้งใจจะหลับ แต่ก็หลับไม่ลง..  นึกขึ้นได้ว่ามีรุ่นน้อง ที่เช่าบ้านอยู่ริมน้ำ  ก็เลยไปเคาะประตูเรียกเขา

    แดง . แดง เปิดประตูให้หน่อย”   ผมพูด

    มีอะไรเหรอ พี่” ไอ้แดง ผู้เช่าห้องพัก

    “ขอนอนค้างคืนหน่อย  เมากัญชา ว่ะ”

    เอาเลย พี่..นอนได้เลย ผมกางมุ้งแล้ว”

    ผมมุดหัวเข้าไปในมุ้ง แล้วหยิบผ้าขาวม้าที่ชุบน้ำจนเปียกมาโปะที่หัวให้มันเย็น เพื่อจะได้สร่างเมากัญชา แม้ผมจะพยายามข่มตา อย่างไรก็หลับไม่ลง    กว่าสามชั่วโมง ผมไม่สามารถจะหลับได้ บางช่วง บางตอน สมองผมนึกไปว่าหัวใจผมหยุดเต้นไปแล้วในสมองมันสั่งว่า

    “มึง ตายแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ครู่ต่อมา  “มึงยังไม่ตายๆๆๆๆๆๆๆๆ”

    หัวใจมึงเต้นแล้วๆๆ” ผมเอามือคลำที่หัวใจ มันเต้นเร็วมาก เร็วมาก ครู่ต่อมา มันเต้นช้า..  ช้าจนเหมือนกับผมไม่มีเรี่ยวมีแรง

    คืนนั้นทั้งคืนผมทรมานอย่างมาก หลับไม่ได้เลยสักนิด  จนรุ่งเช้า ค่อยสร่างเมา เลยสาบานว่า...จากนี้ไปผมจะเลิกพี้ เลิกกัญชาโดยเด็ดขาดและก็สามารถทำได้  ผมจะไม่เข้าไปข้องแวะ แม้ใครจะชักชวนและขอร้องก็ตาม

    เอาเถอะ..  กูหยุด และแขวนบ้องแล้ว”

    “นิดนึง..   น่า..”

    ไม่เอา..  ยังไงก็ไม่เอา” ผมปฎิเสธอย่างแข็งขัน

    นี่จึงเป็นที่มา ของการที่เพื่อนผมบางคน จะได้ทดลองสิ่งเสพสิ่งติด ที่มีระดับความมึนเมาที่แรงสูงขึ้นไปจากเดิม และ.. วันหนึ่งที่ไอ้โจ้ได้ไปเที่ยวแถวคลองเตย จึงได้ผงขาวมา  คืนนั้นสมาชิกในบ้าน ได้เอาฟรอยห่อบุหรี่ มาทำเป็นกรวยช้อน เพื่อใส่ผงขาว แล้วใช้หลอดกาแฟและใช้ด้ามปากกา  คอยดูดควันที่ใช้ไฟลน    ผมได้แต่เพียงมองดูเพื่อนๆ ที่กำลังเสพยา เพื่อศึกษา ว่าเขามีวิธีการเสพอย่างไรเท่านั้น

    “เฮ้ย เพื่อน เลิกเถอะวะ  ไอ้ผงเนี่ยะ หากมึงใจไม่แข็งพอ มึงอาจจะติด มัน จนถอนตัวไม่ขึ้นก็ได้” ผมพูดบอกไอ้โจ้และคนอื่นๆ

    รับรอง กูไม่ติดแน่นอน  ไอ้ขลุ่ย”  เพื่อนผมคนหนึ่งพูด และทุกๆ คนก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

    “ตามใจพวกมึง เรื่องแบบนี้โตๆ กันแล้ว กูไม่ยุ่ง ไม่ก้าวก่าย ถือเป็นเรื่องส่วนตัวแต่ที่กูพูด เพียงแต่ขอร้อง และเป็นห่วงเป็นใยเท่านั้น”  ผมพูดกับเพื่อน

    ........................................................................................................

    ช่วงปิดเรียนอันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของผมเอง ที่จะได้เรียนต่อหรือ-ไม่ได้เรียน ไอ้โจ้ได้ชวนผมให้มาอยู่ที่โรงสีของพ่อของเขา ระหว่างนี้ ไอ้โจ้ได้คบหากับเพื่อนๆ ที่ นิยมการเมาทุกรูปแบบ ทั้ง กินเหล้า กัญชา ใบกระท่อม  ยาม้า  เฮโรอีน ผมรู้สึกหวั่นไหว กับสภาพแวดล้อม ที่ใกล้ตัวผม  ผมเริ่มกลัวว่า จะถูกเพื่อนๆ ของไอ้โจ้บังคับ หรือคะยั้นคะยอให้ผมทดลองเสพยาเหล่านี้  ผมเคยพูดกับไอ้โจ้ว่า

    “มึงจะทำอะไร ก็ทำไป แต่มึงอย่ามาบังคับให้กูต้องทำเหมือนมึง และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เพื่อนของมึงมากกว่า”

    ช่วงเย็น.. เมื่อแดดร่มลมตก  กลุ่มวัยรุ่น ที่เรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ที่เขตหนองจอกจะมีกิจกรรมเล่นกีฬา เด็กๆ ก็เล่นกีฬากันไป  เมื่อไอ้โจ้ ต้องออกนอกบ้าน เขาต้องชวนผมไปด้วยเสมอ. เพื่อนในกลุ่มที่เจอ ก็มักจะเป็นคนหน้าเดิมๆ แหล่งนัดพบ ก็จะเป็นที่โรงเรียนและที่ข้างเจดีย์วัด เป็นส่วนใหญ่ บางทีบางครั้งอาจจะเข้าไปในสวนกล้วยของชาวบ้าน  พวกเขาจะขี่จักรยานมาบอกกันปากต่อปาก  และ มารอกันจนกว่าสมาชิกจะครบ   สมาชิกจะแชร์กันออกเงิน  มีมากออกมาก มีน้อยออกน้อย ใครมีหุ้นมากได้เสพมาก ใครมีหุ้นน้อยก็เสพน้อย ผมจะอยู่ในกลุ่มของพวกเขาโดยตลอด แต่จะไม่ยุ่งไม่เกี่ยวข้องด้วยโดยเด็ดขาด

    ดังที่บอกแล้วว่าหากใครจะมาชักชวนผม.. ผมจะไม่ยอมใจอ่อนอย่างเด็ดขาด เพียงแค่ครั้งที่ผมพี้กัญชา ประสาทผมหลอนแทบจะกลายเป็นคนวิกลจริต  และนี่.. หากเจอยาเสพติดที่ออกฤทธิ์แรงๆ แน่นอน ผมต้องศิโรราบก้มหัวเป็นทาสให้กับมัน..อย่างแน่นอน

    ไอ้โจ้ เคยพูดกับผม ว่ากูไม่ติดหรอก จึงไม่เป็นความจริงเล  ผมสังเกตว่า ไอ้โจ้ เริ่มขาดยาไม่ได้เสียแล้ว ช่วงที่ผมอยู่กับเขาสองคน เคยพูดอย่างเปิดใจว่า

    “ ไอ้โจ้  กูรักมึงมากนะ บางทีกูจำเป็น ต้องบอกความจริงกับแม่บ้างแล้ว แม่เคยมาถามกูว่า เวลากูไปกับมึง ไปทำอะไรกัน

    ไม่ได้นะ  ไอ้ขลุ่ย มึงบอกความจริงกับแม่กู ไม่ได้  กูไม่อยากให้ท่านผิดหวัง ในบ้านกู พ่อกับแม่คาดหวังว่า กูจะได้เรียนสูงที่สุดในบ้าน”

    “แล้วจะให้กูทำไงเมื่อแม่มาถาม กูต้องโกหกแม่ มาโดยตลอด ว่า มึงก็แค่สูบกัญชา”

    ผมได้ คิดทบทวนว่าสักวันหนึ่งหากสมมติ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เกิดสะกดรอย หรืออาจขอค้นตัว เพื่อค้นหาสิ่งผิดกฎหมาย และหากค้นเจอยาเสพติดที่ไอ้โจ้พกพา ผมย่อมซวยไปด้วย เรื่องนี้ ผมเคยเตือนเขาเสมอ ว่าโอกาสย่อมมีได้สักวัน

    “ ขลุ่ย  แม่อยากรู้ จริงๆ ว่า ที่ไอ้โจ้ และกลุ่มเพื่อนๆ เขา ไปมั่วสุมกันหลังวัด ทุกเย็นๆ ไปทำอะไรกัน”

    สูบกัญชาครับแม่ “  ผมตอบแบบปกปิด  บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น เพื่อนเสียหาย ไม่มาก และแม่ก็ไม่เครียดจนเกินไป สภาพแวดล้อมของเขตหนองจอก ณ เวลานั้น  มันเป็นบรรยากาศนำพาให้เยาวชน ต้องมารวมตัวกันริ   ทดลองยาเสพติดกับสิ่งมอมเมาต่างๆ

    “อย่าโกหกแม่นะ แม่รู้นิสัย ขลุ่ยดี เราอย่ารักเพื่อน ในทางที่ผิดสิ มีอะไรก็บอกกับแม่ตรงๆ”

    จริงครับ ไม่ได้โกหก ผมเห็นอย่างนั้นจริงๆ” ผมตอบ

    เป็นเพราะ ผมเคยสัญญากับไอ้โจ้ตลอดว่า หากแม่ถามอะไรก็จะบอกว่าไอ้โจ้แค่เพียงสูบกัญชาอย่างเดียว ผมจึงตอบอย่างนี้ๆๆ  กับแม่มาโดยตลอด แม้นว่าแม่จะแสดงอารมณ์ ไม่สู้จะพอใจ มากนัก และคะยั้นคะยอให้ผมตอบตามความจริง ให้ได้

    เช้าวันเสาร์วันหนึ่ง... ไอ้โจ้ได้เดินเข้าไปที่โรงครัวแต่เช้าเพื่ออ้อนแม่ เขาแต่งตัวชุดหล่อและเท่ห์ โดยสวมกางเกงยีนส์ ใส่เสื้อยืดลายนอนน้ำเงินขาวดูสะดุดตา ผมยืนอยู่ห่างๆ เขา

    แม่.วันนี้ เค้า (โจ้ พูดกับแม่แบบเด็กประถม)  จะเข้าไปกรุงเทพกับไอ้ขลุ่ย ขอเงินหน่อยสิ”

    ทีอย่างนี้ มาทำอ้อนแม่เชียว”  แม่พูด ไอ้โจ้ เข้าไปสวมกอดแม่อย่างใกล้ชิด เท่าที่ผมสังเกต พ่อกับแม่ ดูจะรักไอ้โจ้เป็นพิเศษ เหนือกว่าคนอื่นๆ อย่างนี้นี่เอง.. แม่จึงเป็นห่วงเป็นใย และคอยเฝ้าติดตามพฤติกรรมของลูกเสมอ

    “จะเอาเท่าไหร่ ล่ะ” แม่ถาม

    “พันนึง”

    “เอาไปทำอะไร เงินมากมาย”

    “ซื้ออุปกรณ์ เขียนแบบ ที่คลองเตย ราคามันถูกดี”

    แน่ใจ ว่า จะซื้ออุปกรณ์การเรียน”

    กลับจากคลองเตยแล้ว จะแวะเอามาให้แม่ดูเลย

    แม่หยิบกระเป๋าสตางค์ แล้วหยิบแบงค์ร้อย ขึ้นมานับจำนวน 10 ใบ แล้วยื่นส่งให้ไอ้โจ้

    “เอ้า เอาไปสิ รู้จักใช้ รู้จักจ่ายมั่ง แบมือขอแม่ตลอด เจ้าลูกคนนี้

    “น่า แม่นะ  ขอครั้งนี้แล้ว คงไม่ขอซื้ออะไรอีกแล้ว”

    “โจ้ ขอเงินแม่บ่อยกว่าใครๆ ในบ้านเลย รู้มั้ย”

    เมื่อไอ้โจ้ รับธนบัตรจากแม่ ก็คลี่นับทีละใบ เมื่อครบตามจำนวนที่ขอ ก็เอ่ยปากชักชวนผมไปทันที

    “ไปโว้ย ไอ้ขลุ่ย กูพร้อมแล้ว มึงพร้อมหรือยัง”

    “พร้อม” ผมตอบสั้นๆ

    ไอ้โจ้ เดินนำหน้า ผมก้าวเดิน... แต่ต้องชะงัก ตามเสียงพูด

    เดี๋ยวก่อนเลย ทั้งสองคน เข้าไป หาข้าวในครัวกินกันก่อนเลย ไปกินข้างหน้า ก็ต้องเสียเงินเสียทอง” แม่พูดเพราะเป็นห่วง

    ไป ไอ้โจ้ ฟังตามคำแนะนำ ที่แม่พูด ดีกว่า” ผมพูด เขาก็เห็นด้วย เราจึงเข้าโรงครัวกินข้าวกันจนอิ่ม แล้วจึงออกมานอกบ้าน เพื่อจับรถเมล์ไปลงมีนบุรี ตลอดระยะเวลาที่เดินทางช่วงขาไปที่คลองเตย ผมไม่ได้รู้สึกหวาดระแวงใดๆ เลย  เพราะไอ้โจ้สดใส สามชั่วโมงที่ผมนั่งบนรถเมล์ ที่ต่อแล้วต่ออีก เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลงเพราะสุดสาย เมื่อไปถึงคลองเตย เล่นเอาเมื่อยก้น พอลงจากรถแล้ว ไอ้โจ้ ก็เดินนำหน้าเข้าไปยังสลัมที่เขาเคยมา

    “เฮ้ย โจ้ ไหนมึงว่าจะมาซื้ออุปกรณ์เขียนแบบล่ะ...” ผมพูด

    “เถอะน่ะ.. มึงตามกูมา ขากลับก่อน ค่อยแวะที่ตลาดปีนัง เดี๋ยวกูแวะหาเพื่อนในสลัมก่อน มา.. ตามกูมา”

    ”กูรอข้างนอก ได้มั้ย   กูนั่งที่ร้านค้าแถวนี้. อ่านหนังสือพิมพ์รอ”

    มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันสิวะ”

    ผมมิอาจจะขัดใจกับเพื่อนได้เลย จำต้องเดินตามเขาไปติดๆ เมื่อผ่านกระต๊อบหรือบ้าน ที่มีวัสดุตีแปะง่ายๆ เช่น ไม้ฉำฉา  กล่องกระดาษ สังกะสีเก่าๆ  พวกคนในสลัมคลองเตยได้ทักทายไอ้โจ้ เป็นระยะๆ

    โอ้โห.. ไอ้โจ้ เพื่อนกู นี่กว้างขวางไม่เบา” ผมคิดในใจ

    จะไปไหนเหรอ...โจ้” ชาวสลัม บางคนทักทาย

    อ๋อ... จะเข้าไปที่ล๊อก 5” ไอ้โจ้   ตอบกับคนที่ทักทายมา

    .............................................................................................

    เมื่อมาถึง ล๊อก 5  แล้ว ผมเห็นบุรุษคนหนึ่ง กำลังนอนเสพยา อย่างเคลิบเคลิ้ม ด้านผนังห้องมีชุดกากี ที่แขวนห้อยไว้  ผมเดาได้เลยว่าเขาคงเป็นข้าราชการในสังกัดหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง (ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามยาเสพติด) ผมดูที่อาร์มแขนเสื้อ เขาหันมาเจอไอ้โจ้ พอดี

    อ้าว โจ้ มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

    เพิ่งมาถึงครับ พี่เล่น คนเดียวเลยเหรอครับ”

    อืม ใช่  เสี้ยน (อยาก) ยาแต่เช้าแล้ว มากับใคร อ่ะ

    “เพื่อนครับ ไอ้นี่ มันไม่เอาหรอก ยา” ไอ้โจ้พูดพลางโบ้ยปากมาทางผม

    ลองหน่อยมั้ย ไอ้น้อง นั่งลงสิ เรียนที่เดียวกัน กับโจ้ เหรอ”

    “ครับ “ ผมค่อยๆ ก้มตัวลงนั่ง แต่ตอนนั้นอาการไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจ ที่เขาเป็นคนในเครื่องแบบสังกัดหน่วยปราบปรามยาเสพติด กว่าครึ่งชั่วโมงที่ไอ้โจ้เข้ามาเสพยา ด้วยการยิง เข้าไปที่ข้อพับ ตรงปลายเส้นเลือด เขาใช้น้ำที่หาได้ในพื้นใต้ถุนห้องสลัม

    “อือหือ มันจะหาน้ำดีๆ สักหน่อยก็ไม่ได้ ผมรู้สึกเห็นใจ เขา” ผมคิด

    ดูเหมือนวันนี้ไอ้โจ้ จะมีอาการหนักกว่าทุกครั้ง เพราะช่วงขากลับ ตอนลงจากรถเมล์ ที่ตลาดลำผักชี มันเกิดอาการอาเจียน อย่างรุนแรง ผมต้องหาซื้อน้ำเปล่า และน้ำเขียว มาให้มันดูด ให้คลายจากความเมา ผมพาเพื่อนไปนั่งตรงศาลา สภาพของเขานี่.หมดหล่อเลย น้ำลง น้ำลายไหลยืด.. ดีที่มันเตรียมผ้า เช็ดหน้า ใครๆ เดินผ่านมาก็มอง และถามผมว่า เพื่อนเป็นอะไร

    ไม่เป็นไรมากหรอก เพื่อนผม สงสัยท่า จะเมารถ” ผมตอบ

    บอกตรงๆ ว่า ผมเสียวมากที่สุด เพราะตรงจุดนี้ มีป้อมตำรวจของสถานีตำรวจใกล้ๆ กันกับคิวรถเมล์ ในใจภาวนาว่า ขอให้รถเมล์มาไวไว หัวใจผมบีบและเต้นแข่งกับเวลา ทำไม...วันนี้ รถเมล์มาช้า จังวะ ผมคิด  และแล้วผมก็ยกภูเขาออกจากอกได้ เมื่อรถเมล์จากมีนบุรีจะเข้าป้ายลำผักชี เพื่อไปปลายทาง ที่หนองจอก

    “ไหวมั้ย.. เพื่อน” ผมถาม

    “ไหว...” ไอ้โจ้ ตอบ

    บทเรียนครั้งนี้ หนักสุดในชีวิต ผมโกรธไอ้โจ้  อย่างมาก ที่มันโกหก ผมว่ามันจะพาผมมาซื้ออุปกรณ์การเขียนแบบ แต่นี่ มันกลับทำให้ผมต้องเครียด และเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย กับอนาคต โดยพามาซื้อยาเสพติด เมื่อเข้ามาถึงบ้าน  ไอ้โจ้ ก็แวะไปอาบน้ำและเปลี่ยนชุด สีหน้าท่าทางเขา จึงเหมือนคนปกติ ที่หายเมายาแล้ว

    นี่ไงแม่ อุปกรณ์ เขียนแบบ” ไอ้โจ้ ทำเนียน เข้าไปประจบแม่

    “อยู่บ้าน ซะบ้างสิ เย็นทีไรมาก็ออกจากบ้าน กลับก็ค่ำมืดทุกวันๆ ไม่ต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากินอะไรเลย เหรอ”

    ไอ้โจ้.. เอาอกเอาใจแม่ ได้สามสี่วัน ก็ออกไปอย่างเดิม ผมอยากจะอยู่ในบ้านก็อยู่ไม่ได้ ไอ้โจ้ ขอไว้เป็นกันชนเป็นพยาน เวลาแม่ถาม....... หลายเดือนผ่านมา เพื่อนผม ยิ่งเริ่มเสพหนักขึ้นๆ และวันหนึ่ง ได้เกิดเหตุการณ์ขึ้น.. เมื่อแม่บ้าน มาเอากางเกง-เสื้อของไอ้โจ้และของผมไปซัก ก็ไปเจอผงขาว (เฮโรอีน) ใส่ไว้ในช่องลับของกางเกง แม่บ้านจึงนำไปให้แม่ไอ้โจ้ และแม่ได้ไปสอบถามพี่ชายไอ้โจ้ ว่ามันคืออะไรกันแน่…นี่คือหลักฐานที่มัดไอ้โจ้ อย่างดิ้นไม่หลุด

    (๑๔ กรกฎาคม  ๒๕๖๕)

     

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×